การอบสมุนไพร
การอบสมุนไพรหรือการเข้ากระโจมเป็นสิ่ง
ที่เป็นภูมิปัญญาของไทยที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย
ที่ลูกหลานไทยควรอนุรักษ์ไว้ เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ที่นำไปใช้ การอบสมุนไพรหรือการเข้ากระโจม
คือ การอบตัวด้วยไอน้ำที่มาจากสมุนไพร
เพราะเชื่อว่าเป็นวิธีกำจัดมลทินต่าง ๆ ที่ปรากฏบนผิวเนื้อให้หมดไป
กำจัดน้ำเหลืองเสีย และเป็นการบำรุงผิวหน้าไม่ให้เกิดฝ้า
และบำรุงผิวพรรณให้สดใส สมุนไพรที่มักใช้กัน ได้แก่ เปลือกส้มโอ ใบส้มป่อย
ว่านน้ำ ตะไคร้ ผักบุ้งล้อม มะกรูด ใบมะขาม ไพล เกลือหยิบมือ
แล้วนำสมุนไพรต้มรวมกันในหม้อให้เดือดมีไอพุ่ง
แล้วต่อท่อไม้ไผ่เข้าไปในกระโจมหรือยกหม้อยาที่ต้มเดือดพล่านแล้วเข้าไปตั้ง
ไว้ในกระโจมก็ได้
แล้วให้ผู้เข้ากระโจมใช้ผ้าคลุมตัวในลักษณะเหมือนกระโจมเปิดแย้มฝาหม้อให้ไอ
ค่อย ๆ ออกมารมตัวและให้ลืมตาและสูดหายใจเอาไอน้ำเข้าไป
สมุนไพรจะทำให้สายตาดีและหายใจโล่ง การเข้ากระโจมมักทำในตอนเช้า
ใช้เวลารวมประมาณครึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้นได้ยิ่งดี
จนเหงื่อไหลท่วมตัวราวอาบน้ำ จึงออกจากกระโจมได้ การเข้าอบสมุนไพรแบบนี้
เรียกว่า เข้ากระโจมยา
ถ้าหาอะไรไม่ได้ก็ใช้อิฐเผาไฟให้ร้อนจนแดง
แล้วนำเข้าไปไว้ในกระโจมต่างหม้อยา จากนั้น
ใช้น้ำเกลือราดลงบนอิฐให้เกิดไอพุ่งขึ้นมารมตัว เรียกว่า เข้ากระโจมอิฐ
การเข้ากระโจม
คล้ายอบตัวด้วยไอน้ำก่อนเข้ากระโจมจะทาตัวด้วยเหล้า การบูร และว่านนางคำ
อาจทำเป็นท่อไม้ไผ่ต่อไอน้ำจากหม้อที่ต้มเดือดสอดเข้าในกระโจม
หรือยกหม้อยาที่กำลังเดือดเข้าไปในกระโจมด้วย และค่อย ๆ
เปิดทีละน้อยให้ไอขึ้นรมหน้า สมุนไพรที่ใช้ในการต้มมี 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 เป็นสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ได้แก่ ใบมะขาม มะกรูดผ่าซีก ใบและฝัก ส้มป่อย สมุนไพรกลุ่มนี้จะเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวหนังให้ลื่นออกง่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด ทำให้ผิวหนังสะอาด และต้านทานต่อเชื้อโรคได้
กลุ่มที่ 1 เป็นสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ได้แก่ ใบมะขาม มะกรูดผ่าซีก ใบและฝัก ส้มป่อย สมุนไพรกลุ่มนี้จะเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวหนังให้ลื่นออกง่าย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคบางชนิด ทำให้ผิวหนังสะอาด และต้านทานต่อเชื้อโรคได้
กลุ่มที่ 2
สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ ใบตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ไพล ผิวมะกรูด
เปราะหอม ว่านน้ำ ใบหนาด กลุ่มนี้มีน้ำมันหอมระเหย
ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยลดอาการหวัด คัดจมูก
นอกจากนี้ ใบตะไคร้และเหง้าขมิ้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย
ส่วนไพลมีฤทธิ์ลดอาการบวมอักเสบได้
กลุ่มที่ 3 ได้แก่ พิมเสน การบูร มีสรรพคุณทำให้รู้สึกสดชื่น ช่วยบำรุงหัวใจ และรักษาโรคผิวหนังบางชนิด
จากสมุนไพรทั้ง 3 กลุ่มนี้
จะเห็นได้ว่าการอบสมุนไพรทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มมากขึ้น
ช่วยลดการอักเสบ บวม อาการปวดของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ทำให้รูขุมขนขยายออก
สิ่งสกปรกถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
และสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านั้นให้ลื่นหลุดออกจาก
ผิวหนังได้ง่าย ช่วยให้ผิวหนังมีความต้านทานต่อเชื้อโรคได้ดีขึ้น
ทำให้ข้อที่ฝืดแข็ง ปวด ลดคลายความปวดและฝืดลง ทำให้เหงื่อถูกขับ
กลิ่นหอมของสมุนไพรช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส คลายความเครียด
และบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก
ปัจจุบันการอบสมุนไพรมี 2 แบบ ได้แก่การอบแห้งและการอบเปียก โดย การอบแห้งเรียกทับศัพท์ว่า “ เซาว์น่า ” คล้ายคลึงกับการอยู่ไฟของไทย ซึ่งนิยมในต่างประเทศ โดยใช้ความร้อนจากถ่านหินบนเตาร้อน ส่วน การอบเปียกเป็น
วิธีที่คนไทยนิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน โดยพัฒนาจากการเข้ากระโจม
มาเป็นห้องอบสมุนไพรที่ทันสมัยขึ้น สามารถให้บริการได้ครั้งละหลายคน
โดยการใช้หม้อต้มสมุนไพรที่มีท่อส่งไอน้ำเข้าไปภายในห้องอบ
การอบสมุนไพรของไทยนั้นเป็นการอบไอน้ำร้อน
ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการขับเหงื่อเพื่อรักษาโรคเฉียบพลัน
ฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยเรื้อรัง และมารดาหลังคลอด
รวมทั้งช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย
การเข้ากระโจมอบไอน้ำไม่ควรทำเมื่อรับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ
หรือขณะกำลังหิว และทำในที่ที่ไม่มีลมพัดต้องเอาน้ำมันมาทาตัวเสียก่อน
วิธีการเข้ากระโจมนั้นควรค่อย ๆ
เพิ่มความร้อนให้มากขึ้นจนเพียงพอกับความต้องการ
และเมื่อจะเลิกก็ลดความร้อนให้ ค่อย ๆ
น้อยลงจนเท่าความร้อนปกติของร่างกาย แล้วจึงออกจากกระโจม
เพราะการนำเอาผู้ป่วยเข้ากระโจมร้อนทันที
และเมื่อเอาออกก็ถูกอากาศเย็นทันทีนั้นเป็นอันตราย อาจทำให้คนช็อกได้
ในการเข้ากระโจม ควรให้ดื่มน้ำใส่เกลือเค็มเล็กน้อย ดื่มบ่อย ๆ
ได้จะเป็นการดี และควรมียาแก้ลมไว้ด้วย
เมื่อออกจากกระโจมก็ควรห่มผ้าให้อุ่น ๆ ไว้ก่อน
เมื่อรู้สึกสบายแล้วจึงเอาผ้าห่มออก และควรอาบน้ำอุ่นชำระร่างกายด้วย
เมื่อหลังอาบน้ำควรห่มผ้าและนั่งหรือนอนให้สบายสักครู่ อย่าให้ถูกลม
ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีลักษณะเหนียว ๆ และ ร้อน ๆ
หลังเข้ากระโจม
1. ประโยชน์ของการอบสมุนไพร
การอบสมุนไพรมีประโยชน์ ดังนี้
การอบสมุนไพรมีประโยชน์ ดังนี้
- ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
- ช่วยบรรเทาอาการหอบหืดเรื้อรัง
- ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ระบบหายใจปลอดโปร่ง มีความคล่องตัวมากขึ้น ไม่อึดอัด
- ทำให้ผด ผื่น คัน และอาการอักเสบของผิวหนังหายไปได้
- ช่วยฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย อันก่อให้เกิดกลากเกลื้อน ทำให้ผิวหนังเกลี้ยงเกลา มีน้ำมีนวล ไม่หมองคล้ำ
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง เพราะเส้นโลหิตจะขยายออกทำให้โลหิตไหลเวียนสะดวก ผิวพรรณจึงผุดผ่อง เปล่งปลั่ง มีเลือดฝาด
- ช่วยฟื้นฟูผู้ที่กำลังพักฟื้น ให้กลับมาแข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น กระปรี้กระเปร่า
- ทำให้มดลูกของมารดาหลังคลอดเข้าอู่เร็วขึ้น ช่วยขับน้ำคาวปลา การอบสมุนไพรจะทำให้มารดาหลังคลอดสุขภาพดีขึ้น แต่ต้องทำหลังการคลอดประมาณ 10 วัน จึงจะได้ผลดี ผิวพรรณจะผุดผ่องเป็นยองใยยิ่งกว่าสาว ๆ เสียอีก เพราะจะทำให้เกิดเลือดฝาดที่มีสีแดงบริสุทธิ์นั้นเอง
- ทำให้ใบหน้านิ่มนวลเกลี้ยงเกลา ผิวหน้าปราศจากความมันและความหยาบกร้าน
- ช่วยรักษาสิวฝ้า ขจัดริ้วรอยเหนี่ยวย่นบนใบหน้า ลบรอยตีนกา ริ้วรอยที่หัวคิ้ว ขอบตา และหน้าผาก
- ช่วยแก้อาการเหน็บชา อาการชาตามปลายเท้า ปลายนิ้วมือ แขน และขา
- ช่วยทุเลาอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต และทำให้หายขาดได้
- ช่วยขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้น และเอ็นให้เบาบางลง จนกระทั่งเป็นปกติ
- ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
2. ตัวอย่างสูตรตัวยาอบสมุนไพร สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ 4 ขนาน ดังนี้
สูตรที่ 1
สูตรที่ 1
- ใบมะกรูด
- ใบมะขามแก่
- ต้นตะไคร้ทุบแตก ตัดเป็นท่อนสั้น
- หอมแดงทุบแตก
- ไพลหั่นเป็นแว่น
- ใบส้มป่อย
- การบูรบดละเอียด
สูตรที่ 2
- ใบส้มโอ
- ใบมะขามแก่
- ใบมะกรูด
- ไพลทุบแตก
- เหง้าข่าแก่ทุบแตก
- ใบกระเพราแดง
- การบูรบดละเอียด
สูตรที่ 3
- ว่านน้ำ (ถอนมาทั้งราก ลำต้น ใบ)
- ผักหนาม (ถอนมาทั้งต้น)
- ใบมะกรูด
- หอมแดง
- ต้นตะไคร้ทุบ ตัดเป็นท่อนสั้น
- ส้มป่อย
- การบูรบดละเอียด
สูตรที่ 4
- เหง้าไพลทุบแตก
- เหง้าขมิ้นชันทุบแตก
- เหง้าข่าแก่ทุบแตก
- ใบมะขามแก่
- ดอกดีปลี
- รากเจตมูลเพลิงแดง
- หอมแดงทุบแตก
- ส้มป่อย
- ตะไคร้ทุบแตก
- ใบส้มโอ
- ใบกระเพราแดง
- ต้นทองพันชั่งทั้งรากสับชิ้นเล็ก ๆ
- การบูรบดละเอียด
3. วิธีปรุงส่วนผสม
ตัวอย่างในสูตรที่ 1 นำสมุนไพรทั้งหมดล้างให้สะอาด จากนั้นให้เอาใบมะกรูดมาเด็ด และฉีกเป็นชิ้น ๆ ต้นตะไคร้เอามาทุบและหั่นเป็นท่อน ๆ ประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้ต้มได้ง่ายขึ้น รูดใบมะขามแก่ แล้วขยี้ใส่ลงไปในหม้อต้มทั้งใบและก้าน ขยี้ใบส้มป่อย ใส่ลงในหม้อต้มทั้งใบและก้าน เอาไพลมาหั่นเป็นแว่นแล้วทุบ ทุบหอมแดงให้แตก ใส่ลงไปในหม้อต้ม ส่วนการบูรนั้น ให้โรยลงไปเวลาที่น้ำสมุนไพรกำลังเดือดจัด เพื่อให้การบูรส่งกลิ่นหอม และรักษาคุณประโยชน์ของการบูรไว้อย่างเต็มที่ ไอร้อนน้ำร้อนจากการต้มสมุนไพรนี้ จะนำมาใช้ประโยชน์ในการอบสมุนไพรเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากต้องการทำเป็นสมุนไพรแห้ง จะต้องนำสมุนไพรไปตากแดด หรืออบด้วยความร้อนให้แห้งเสียก่อน แล้วจึงนำมาบดละเอียด รวมทั้งใส่การบูรที่บดจนละเอียดแล้วผสมลงไปด้วย กลิ่นหอมของการบูรจะโชยออกมาทันที จากนั้นนำไปบรรจุในถุงผ้าขาวบาง และห่อหุ้มด้วยพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาจากสมุนไพรระเหยหรือระเหิดออกไปจนเสียสรรพคุณสำคัญ อันจะทำให้การใช้ยาอบสมุนไพรนี้ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
ตัวอย่างในสูตรที่ 1 นำสมุนไพรทั้งหมดล้างให้สะอาด จากนั้นให้เอาใบมะกรูดมาเด็ด และฉีกเป็นชิ้น ๆ ต้นตะไคร้เอามาทุบและหั่นเป็นท่อน ๆ ประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้ต้มได้ง่ายขึ้น รูดใบมะขามแก่ แล้วขยี้ใส่ลงไปในหม้อต้มทั้งใบและก้าน ขยี้ใบส้มป่อย ใส่ลงในหม้อต้มทั้งใบและก้าน เอาไพลมาหั่นเป็นแว่นแล้วทุบ ทุบหอมแดงให้แตก ใส่ลงไปในหม้อต้ม ส่วนการบูรนั้น ให้โรยลงไปเวลาที่น้ำสมุนไพรกำลังเดือดจัด เพื่อให้การบูรส่งกลิ่นหอม และรักษาคุณประโยชน์ของการบูรไว้อย่างเต็มที่ ไอร้อนน้ำร้อนจากการต้มสมุนไพรนี้ จะนำมาใช้ประโยชน์ในการอบสมุนไพรเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากต้องการทำเป็นสมุนไพรแห้ง จะต้องนำสมุนไพรไปตากแดด หรืออบด้วยความร้อนให้แห้งเสียก่อน แล้วจึงนำมาบดละเอียด รวมทั้งใส่การบูรที่บดจนละเอียดแล้วผสมลงไปด้วย กลิ่นหอมของการบูรจะโชยออกมาทันที จากนั้นนำไปบรรจุในถุงผ้าขาวบาง และห่อหุ้มด้วยพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาจากสมุนไพรระเหยหรือระเหิดออกไปจนเสียสรรพคุณสำคัญ อันจะทำให้การใช้ยาอบสมุนไพรนี้ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
4. วิธีอบสมุนไพร (การเข้ากระโจม)
ปัจจุบันได้เปลี่ยนภาชนะจาก “หม้อต้มดินเหนียว” มาเป็น “หม้อหุงข้าวไฟฟ้า” แทนหรืออาจใช้หม้ออลูมิเนียมแทนได้แต่ต้องมีฝาปิดมิดชิด การต้มสมุนไพรต้องต้มสมุนไพรจนน้ำเดือดพล่าน (ระวังสมุนไพรทะลักออกมานอกหม้อต้ม) จากนั้น ยกหม้อต้มยาไปวางไว้ในกระโจมที่จะใช้อบร่างกาย โดยวางหม้อสมุนไพรไว้ตรงหน้าของผู้เข้ากระโจม เผยอปากหม้อเพียงเล็กน้อย พร้อมกันนั้นให้ใส่การบูรที่บดละเอียดแล้วลงไปในหม้อยาสมุนไพรที่กำลังเดือด จัด โดยค่อย ๆ โรยการบูรลงไปที่ละนิด ๆ กลิ่นอายของการบูรจะนำพาตัวยาสมุนไพรแพร่กระจายออกไป ช่วยให้สูดไอกลิ่นหอมของสมุนไพรเข้าปอดอย่างเต็มที่ จะรู้สึกถึงความโล่งสบายในระบบทางเดินหายใจ และสบายเนื้อสบายตัว
ปัจจุบันได้เปลี่ยนภาชนะจาก “หม้อต้มดินเหนียว” มาเป็น “หม้อหุงข้าวไฟฟ้า” แทนหรืออาจใช้หม้ออลูมิเนียมแทนได้แต่ต้องมีฝาปิดมิดชิด การต้มสมุนไพรต้องต้มสมุนไพรจนน้ำเดือดพล่าน (ระวังสมุนไพรทะลักออกมานอกหม้อต้ม) จากนั้น ยกหม้อต้มยาไปวางไว้ในกระโจมที่จะใช้อบร่างกาย โดยวางหม้อสมุนไพรไว้ตรงหน้าของผู้เข้ากระโจม เผยอปากหม้อเพียงเล็กน้อย พร้อมกันนั้นให้ใส่การบูรที่บดละเอียดแล้วลงไปในหม้อยาสมุนไพรที่กำลังเดือด จัด โดยค่อย ๆ โรยการบูรลงไปที่ละนิด ๆ กลิ่นอายของการบูรจะนำพาตัวยาสมุนไพรแพร่กระจายออกไป ช่วยให้สูดไอกลิ่นหอมของสมุนไพรเข้าปอดอย่างเต็มที่ จะรู้สึกถึงความโล่งสบายในระบบทางเดินหายใจ และสบายเนื้อสบายตัว
การอบสมุนไพรที่เหมาะสม
ควรใช้ระยะเวลาในการอบเพียง 10-15 นาที ไม่ควรมากกว่านั้น
เมื่อครบตามกำหนดเวลาออกจากกระโจม
และต้องปรับตัวเพื่อสัมผัสกับอากาศภายนอกและรอจนร่างกายแห้งดีแล้วจึงค่อย
อาบน้ำ
ข้อห้ามในการเข้ากระโจม
แม้ว่าการเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพรจะเกิดประโยชน์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
แต่อาจเกิดอันตรายได้ คือ ทำให้วิงเวียน เป็นลม หมดสติ ดังนั้น
จึงมีข้อควรระวังและข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพร
ดังนี้คือ
- มารดาหลังคลอด 1- 2 วันไม่ควรเข้ากระโจม เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ควรทอดระยะออกไปประมาณ 4-5 วัน หลังคลอดให้แน่ใจว่าร่างกายแข็งแรงพอ
- มีอาการอ่อนเพลีย อดนอน กำลังหิวข้าว น้ำหรืออิ่มเกินไป
- มีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรือกำลังคลื่นไส้อาเจียน
- เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด โรคลมชัก และโรคไต
........................................
บรรณานุกรม
กิตติชัย อนวัชประยูร. “การดูแลมารดาหลังคลอด”.
เอกสารชุดโครงการเสริมสร้างอาชีพแพทย์แผนไทย. นนทบุรี:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มปป.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2549). เอกสารการสอนชุดวิชานวดแผนไทย หน่วยที่ 1-15. นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หมอชาวบ้าน. (2537). “โครงการฟื้นฟูการนวดไทย”. คู่มือการนวดไทยในงานสาธารณสุขมูลฐาน. พิมพ์ครั้งที่ 6: กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2549). เอกสารการสอนชุดวิชานวดแผนไทย หน่วยที่ 1-15. นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
หมอชาวบ้าน. (2537). “โครงการฟื้นฟูการนวดไทย”. คู่มือการนวดไทยในงานสาธารณสุขมูลฐาน. พิมพ์ครั้งที่ 6: กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น